บทความ: แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำกับความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

น้ำนอกจากจะเป็นปัจจัยพื้นฐานของการดำรงชีวิตของมนุษย์แล้ว ยังเป็นสิ่งจำเป็นต่อปัจจัยด้านการผลิตที่สำคัญในหลายภาคส่วน เช่น ภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม ภาคการท่องเที่ยวและบริการ รวมไปถึงการรักษาระบบนิเวศ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสรุปได้ว่าน้ำนั้นนับเป็นปัจจัยหลักต่อการพัฒนาประเทศ (Grey and Sadoff, 2007; Global Water Partnership, 2010) นอกเหนือไปจากการให้ความสำคัญกับปัญหาของทรัพยากรน้ำที่มีปริมาณลดน้อยลงแล้ว ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกต่างก็ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำและความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัญหาดังกล่าวนี้มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (สุจริต คูณธนกุลวงศ์ และคณะ, 2556) การเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) นั้น นับเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญอย่างยิ่งของประเทศ เนื่องมาจากทรัพยากรน้ำในพื้นที่ดังกล่าวนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ หากแต่ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีของการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ดังกล่าวนั้น พบว่า การขาดการวางแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีส่งผลกระทบที่สำคัญอย่างยิ่งต่อวิกฤติปัญหาคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรม รวมไปถึงความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ที่ส่งผลต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

โดยทั่วไปแล้วนั้น ปัญหาคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมในพื้นที่ที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจนั้นมักเกิดจากปัจจัยหลัก คือ การปล่อยน้ำเสียปริมาณมากที่เกิดจากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม และการขยายตัวของชุมชนอันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรและแรงงานในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ ลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ นอกจากนั้นแล้วปัญหาคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมยังอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นได้จากปัจจัยร่วมที่สำคัญ เช่น การรุกล้ำของน้ำทะเล การเกิดภัยพิบัติอย่างเฉียบพลัน รวมไปถึงการแปรผันของปริมาณฝน อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำด้านกายภาพและเคมี เช่น การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความเป็นกรด-ด่าง อัตราการระเหยของน้ำ และปริมาณตะกอนแขวนลอย (ศิริรัตน์ สังขรักษ์ และคณะ, 2563) นอกจากนั้นแล้ว Chaowiwat และ Likitdecharote (2009) ยังพบว่าฤดูร้อนที่ยาวนานขึ้นนั้นนอกเหนือจากจะส่งผลกระทบต่อการระเหยของน้ำสู่ชั้นบรรยากาศโดยตรงแล้ว ยังส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำอีกด้วย

3. สาเหตุและแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก

การศึกษาการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำของแม่น้ำสายหลักในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อันประกอบไปด้วย แม่น้ำบางปะกง แม่น้ำประแสร์ และแม่น้ำระยองนี้ ดำเนินการโดยการประเมินค่าดัชนีคุณภาพน้ำผิวดิน (Water Quality Index: WQI) จากคะแนนรวมของดัชนีคุณภาพน้ำ 5 พารามิเตอร์ ตามเกณฑ์ของสำนักงานจัดการคุณภาพน้ำ กรมควบคุมมลพิษ (รูปที่ 2) ได้แก่ 1) ปริมาณออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen: DO) 2) ปริมาณความสกปรกในรูปของสารอินทรีย์ (Biochemical Oxygen Demand: BOD) 3) การปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด (Total Coliform Bacteria: TCB) 4) การปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม (Fecal Coliform Bacteria: FCB) และ 5) แอมโมเนีย (NH3-N) โดยปริมาณออกซิเจนละลายน้ำนี้เป็นดัชนีที่ถูกใช้เพื่อบ่งชี้ถึงความเหมาะสมในการดำรงชีวิตของสัตว์น้ำทั่วไป ในขณะที่ดัชนีคุณภาพน้ำตัวอื่น ๆ นั้นถูกใช้เป็นดัชนีที่บ่งชี้ถึงระดับความสกปรกของแหล่งน้ำ ซึ่งมีที่มาจากน้ำเสียของชุมชน ภาค อุตสาหกรรม และภาคเกษตรกรรม เป็นหลัก


ที่มา: กรมควบคุมมลพิษ (มปป)

ผลการประเมินค่าดัชนีคุณภาพน้ำผิวดินของแม่น้ำสายหลักทั้ง 3 สายนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คุณภาพน้ำของแม่น้ำทั้ง 3 สายนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพตามธรรมชาติ เมื่อพิจารณาถึงดัชนีคุณภาพน้ำแต่ละพารามิเตอร์ พบว่า โดยภาพรวมแล้วดัชนีคุณภาพน้ำที่อยู่ในเกณฑ์คุณภาพต่ำและก่อให้เกิดความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำ ประกอบไปด้วย DO, BOD และ NH3-N ทั้งนี้การปนเปื้อนของแหล่งน้ำด้วย BOD และ NH3-N นี้ ทำให้สามารถระบุแหล่งที่มาของการปนเปื้อนได้ว่าอาจจะเกิดจากน้ำเสียชุมชนที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์และการประกอบอุตสาหกรรมเป็นหลัก


สำหรับการประเมินความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมนั้น ดำเนินการโดยการนำค่าดัชนีคุณภาพน้ำผิวดิน (WQI) รายลุ่มน้ำมาปรับเทียบให้เป็นรายจังหวัด แล้วจึงจัดแบ่งตามเกณ์คุณภาพน้ำตามค่าดัชนีคุณภาพน้ำผิวดิน (WQI) ให้เป็น 5 ระดับ เช่นเดียวกันกับเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ผลการประเมินความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อม รายจังหวัด (ตารางที่ 2) นั้น แสดงให้เห็นว่าความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะในด้านคุณภาพน้ำของจังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดระยองนั้น มีค่าอยู่ในระดับเกณฑ์คุณภาพน้ำ ระดับที่ 4 หรือสามารถจัดได้ว่าเป็นระดับที่มีคุณภาพน้ำเสื่อมโทรมทั้ง 2 พื้นที่

ผลการประเมินการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำและการประเมินความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมของแม่น้ำสายหลักในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทราและจังหวัดระยองนั้น กำลังประสบปัญหาความเสื่อมโทรมของคุณภาพน้ำซึ่งอาจมีสาเหตุหลักมาจากการปล่อยน้ำเสียชุมชนจากกิจกรรมของมนุษย์และการประกอบอุตสาหกรรมลงสู่แม่น้ำสายหลักทั้ง 3 สายดังกล่าว เมื่อประกอบกับการคาดการณ์ต่อการขยายตัวของเมืองและการเพิ่มขึ้นของประชากรในพื้นที่ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปล่อยน้ำเสียชุมชนเพิ่มมากขึ้นแล้ว จึงคาดการณ์ได้ว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ำและความเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำในพื้นที่จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้น้ำเสียที่เกิดขึ้นจากชุมชนและกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์จึงควรได้รับการบำบัดก่อนถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ นอกจากนั้นแล้วยังควรเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บรวบรวม รองรับและบำบัดน้ำเสียชุมชนของพื้นที่ให้มากขึ้น พร้อมทั้งมีแผนการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำของแม่น้ำสายหลักและมีการควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากแหล่งกำเนิดที่มิได้ผ่านการบำบัดอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้เพื่อลดระดับความวิกฤติของปัญหาคุณภาพน้ำที่เสื่อมโทรมที่อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำในภาวะภัยแล้งเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย ในส่วนของกิจกรรมย่อยที่ 2 “การศึกษาผลกระทบของภัยแล้งต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพน้ำ” ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ 
วิจัยและนวัตกรรม (กองทุน ส่งเสริม ววน.) ปีงบประมาณ 2564 (CU_FRB640001_01_21_6)