ชัยวัฒน์ บุญเพ็ง, ชุติมา ศรีวิบูลย์ และ กัณฑรีย์ บุญประกอบ. (2561). การประเมินคุณภาพอากาศในสวนสาธารณะในกรุงเทพมหานครด้วยไลเคน. วารสารสิ่งแวดล้อม, ปีที่ 22 (ฉบับที่ 3), 56-64.
ชัยวัฒน์ บุญเพ็ง1*, ชุติมา ศรีวิบูลย์2 และ กัณฑรีย์ บุญประกอบ1
1หน่วยวิจัยไลเคน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก กรุงเทพมหานคร 10240
2ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก กรุงเทพมหานคร 10240
*ผู้ประสานงาน: chaiwat.bioru@gmail.com
ไลเคนถูกนำมาใช้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ไลเคนตรวจวัดและประเมินคุณภาพอากาศในสวนสาธารณะในกรุงเทพมหานคร โดยทำการเก็บตัวอย่างไลเคนชนิด Parmotrema tinctorum จากบริเวณที่มีอากาศบริสุทธิ์ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จากนั้นนำไปติดไว้บนต้นไม้ในสวนสาธารณะ 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร พื้นที่เกษตรกรรม และพื้นที่ควบคุม เป็นระยะเวลา 140 วัน จากนั้นนำตัวอย่างกลับมาวิเคราะห์ปริมาณไนเตรท (NO3-) และซัลเฟต (SO42-) ที่สะสมในไลเคน รวมทั้งวัดค่าทางสรีรวิทยาด้วย พบว่า ปริมาณสารทั้งสองชนิดมีค่าสูงสุดในกรุงเทพมหานคร รองลงมาคือพื้นที่เกษตรกรรม และต่ำสุดที่พื้นที่ควบคุม ส่วนค่าทางสรีรวิทยาพบว่าสวนสาธารณะที่อยู่ในย่านใจกลางเมือง ได้แก่ สวนลุมพินี สวนสันติภาพ และสวนวชิรเบญจทัศ ซึ่งล้อมรอบด้วยการจราจรที่หนาแน่น มีค่าต่ำกว่าสวนอื่น ๆ ที่อยู่รอบนอกอย่างชัดเจน บ่งชี้ว่าไลเคนที่ย้ายปลูกในสวนเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศมากกว่า การศึกษานี้ยืนยันว่าไลเคนสามารถนำมาใช้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการวัดค่าทางสรีรวิทยาของไลเคนสามารถใช้เป็นสัญญาณเตือนภัยเบื้องต้นของมลพิษทางอากาศได้
การจราจรของรถยนต์เป็นสาเหตุหลักของปัญหามลพิษทางอากาศในเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานครที่มีจำนวนรถยนต์มากเกือบ 10 ล้านคัน สารมลพิษที่ถูกปล่อยออกมาจากรถยนต์ เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx) สารประกอบอินทรีย์โพลิไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) และโลหะหนัก เป็นต้น สารเหล่านี้เป็นพิษต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบหลอดเลือดหัวใจ ระบบประสาท และอื่น ๆ (Kampa & Castanas, 2008) แนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยลดมลพิษในบรรยากาศคือ การปลูกต้นไม้ และสร้างสวนสาธารณะ (McDonald et al., 2016) ปัจจุบันมีสวนสาธารณะ 37 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร ประชาชนใช้สวนเหล่านี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ อ่านหนังสือ และออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม คุณภาพอากาศที่แท้จริงของสวนแต่ละแห่งยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะยังไม่มีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ ดังนั้นการตรวจวัดและประเมินคุณภาพอากาศในสวนสาธารณะจึงมีความจำเป็น เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
พื้นที่ศึกษาประกอบด้วย พื้นที่ปราศจากมลพิษทางอากาศหรือพื้นที่ควบคุมในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่เกษตรกรรมในอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี และพื้นที่ที่มีมลภาวะทางอากาศในกรุงเทพมหานคร
ภาพที่ 1 ก) ลักษณะของไลเคนชนิด Parmotrema tinctorum และ ข) การวางตัวอย่างไลเคนในพื้นที่ตรวจวัด
ภาพที่ 2 ตำแหน่งของสวนสาธารณะทั้ง 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร (ที่มา: ดัดแปลงจาก Google earth)
ความแตกต่างทางสถิติของปริมาณสารมลพิษและค่าทางสรีรวิทยาของไลเคนในพื้นที่ตรวจวัดแต่ละแห่ง วิเคราะห์ด้วยวิธี one-way ANOVA และ Duncan's multiple range test ที่ระดับความสำคัญ p<0.05 ส่วนการหาความสัมพันธ์ระหว่างค่าทางสรีรวิทยาและความเข้มข้นของสารมลพิษจากบรรยากาศจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ วิเคราะห์ด้วยวิธี Pearson’s correlation
ผลและอภิปรายผล
ความเข้มข้นเฉลี่ยของทั้งไนเตรท (NO3-) และซัลเฟต (SO42-) ในไลเคนที่ย้ายปลูก มีค่าสูงสุดในกรุงเทพมหานคร (ค่าเฉลี่ยจาก 10 สวน) รองลงมาคือพื้นที่เกษตรกรรม และต่ำสุดที่พื้นที่ควบคุมในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (ภาพที่ 3) นอกจากนี้ยังพบว่าความเข้มข้นของไนเตรท (1,133 µg/g) ซึ่งเฉลี่ยจากสวนทั้ง 10 แห่ง มีค่าสูงกว่าซัลเฟต (872 µg/g) สอดคล้องกับข้อมูลจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ พบว่าไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2, 32 ppb) ซึ่งเฉลี่ยจาก 17 สถานี ในช่วงเวลาเดียวกับที่ทำการศึกษา (ตุลาคม 2553 ถึง มกราคม 2554) มีความเข้มข้นสูงกว่าซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2, 4 ppb) ข้อมูลเหล่านี้บ่งบอกว่าปริมาณสารมลพิษที่วิเคราะห์ได้จากไลเคนสามารถบ่งชี้ถึงระดับของสารเหล่านั้นในบรรยากาศ (Boonpeng et al., 2017a; Garty et al., 2001)
ภาพที่ 3 ปริมาณไนเตรท (NO3-) และซัลเฟต (SO42-) ในไลเคนที่ย้ายปลูกในพื้นควบคุมในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดปราจีนบุรี และสวนสาธารณะ 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร ตัวอักษรต่างกันบนสารชนิดเดียวกันบ่งชี้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ค่าทางสรีรวิทยาของไลเคน โดยเฉพาะค่าคลอโรฟิลล์ฟลูออเรสเซ็นซ์ (Fv/Fm) ที่สวนสาธารณะในใจกลางเมือง ได้แก่ สวนลุมพินี สวนสันติภาพ และสวนวชิรเบญจทัศ มีค่าต่ำกว่าสวนที่อยู่รอบนอกอย่างชัดเจน บ่งชี้ว่าไลเคนที่ย้ายปลูกในสวนเหล่านี้ได้รับความเครียดหรือผลกระทบมากกว่า (ภาพที่ 4) การเปลี่ยนแปลงของค่าทางสรีรวิทยาของไลเคนเป็นสัญญาณเริ่มแรกที่แสดงถึงความผิดปกติของสภาวะอากาศ (Paoli et al., 2015) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีสาเหตุมาจากสารมลพิษชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เกิดจากมลภาวะทางอากาศโดยรวมในบริเวณนั้น ฉะนั้นค่าที่วัดได้อาจไม่สัมพันธ์กับปริมาณสารบางชนิดในไลเคน โดยเฉพาะไนโตรเจนและซัลเฟอร์ซึ่งเป็นสารอาหารหลัก (macronutrients) ของสิ่งมีชีวิต เป็นองค์ประกอบของกรดอะมิโนและคลอโรฟิลล์ หากได้รับในปริมาณที่ไม่มากเกินไปไลเคนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ (von Arb et al., 1990) จากผลการศึกษาพบว่า ไลเคนที่ย้ายปลูกที่สวนสันติภาพซึ่งอยู่ใจกลางเมืองมีปริมาณไนเตรทและซัลเฟตต่ำกว่าสวนหนองจอกซึ่งอยู่ชานเมือง แต่มีค่าทางสรีรวิทยาต่ำกว่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะค่า Fv/Fm บ่งชี้ว่าไลเคนที่สวนสันติภาพได้รับอิทธิพลจากสารมลพิษชนิดอื่น ๆ นอกเหนือจากไนเตรทและซัลเฟต เช่น คลอไรด์ (Cl-), ฟลูออไรด์ (F-) และโลหะหนัก มากกว่าที่สวนหนองจอกได้รับ (Boonpeng, 2011)
ภาพที่ 4 ค่าคลอโรฟิลล์ฟลูออเรสเซ็นซ์ (Fv/Fm) ปริมาณคลอโรฟิลล์รวม (chl a+b) และสัดส่วนการสลายตัวของคลอโรฟิลล์ (OD435/OD415) ของไลเคนที่ย้ายปลูกในพื้นควบคุมในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ พื้นที่เกษตรกรรมในจังหวัดปราจีนบุรี และสวนสาธารณะ 10 แห่ง ในกรุงเทพมหานคร ตัวอักษรต่างกันบนค่าเดียวกันบ่งชี้ว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ไลเคนและสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ 1. เลือกชนิดต้นไม้ที่จะนำมาปลูก ช่วงที่มีมลพิษทางอากาศสูงในประเทศไทยเกิดขึ้นในฤดูหนาวประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ เนื่องจากมีฝนน้อย ดังนั้นต้นไม้ที่นำมาปลูกควรเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ (evergreen tree) เพราะใบไม้ช่วยจับสารมลพิษในบรรยากาศ ต่างจากประเทศในเขตอบอุ่น แม้ต้นไม้ทิ้งใบในช่วงเวลานี้แต่มีฝนและหิมะช่วยชะล้างสารมลพิษจากบรรยากาศ นอกจากนี้ ควรเลือกปลูกต้นไม้ที่มีอายุยืน แข็งแรง ทนทาน มีเรือนยอดใหญ่และหนา และยิ่งปลูกต้นไม้ให้มีความหนาแน่นมากเท่าไร ก็จะยิ่งช่วยลดมลพิษทางอากาศได้มากเท่านั้น การปลูกต้นไม้นอกจากช่วยลดมลพิษในบรรยากาศในเมืองแล้วยังให้ประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ขจัดฝุ่น ลดอุณหภูมิ ลดเสียง ลดความเร็วลม ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ ลดปัญหาสุขภาพที่เกิดจากมลพิษทางอากาศ และสร้างสุนทรียภาพให้ชุมชนเมือง ทำให้เมืองน่าอยู่มากยิ่งขึ้น (McDonald et al., 2016; Nowak, 2011) กิตติกรรมประกาศ
แนวทางการเขียนบทความ วารสารสิ่งแวดล้อม วารสารสิ่งแวดล้อม เป็นวารสารที่นำเสนอบทความวิชาการทางด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นเนื้อหาความรู้ทางวิชาการที่ไม่เข้มข้นมากนัก เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นบุคคลทั่วไป รูปแบบของการเขียนบทความเป็นในลักษณะดังนี้
ควรมีความยาวของบทความขนาดไม่เกิน 6 หน้า (รวมรูปภาพและตาราง) โดยการใช้ font ประเภท Thai Saraban ขนาดตัวอักษร 16 Single space ให้ส่งไฟล์รูปภาพ ที่มีขนาดรูปเท่าที่ต้องการนำเสนอจริง และมีความละเอียดไม่น้อยกว่า 300 dpi หรือ ไฟล์ภาพต้นฉบับ
กำหนดให้ผู้เขียนบทความใช้ระบบ APA 6th ed โดยการอ้างอิงในเนื้อหาเป็นแบบ “ผู้แต่ง, ปีพิมพ์” และมีวิธีการเขียนรายการเอกสารอ้างอิง ดังนี้
เปิดรับบทความ/ข้อเขียนที่เกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อมทุกด้าน โดยจัดส่งต้นฉบับผ่านทางระบบ Submission พร้อมระบุชื่อและนามสกุล สถานที่ติดต่อ และเบอร์โทรศัพท์ ของผู้เขียน/ผู้รับผิดชอบบทความ
วารสารสิ่งแวดล้อม (Environmental Journal) เป็นวารสารที่ดูแลโดยสถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วารสารนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข่าวสารและองค์ความรู้ทางวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมออกสู่สาธารณชน ครอบคลุมในประเด็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการเมือง การจัดการของเสียและขยะ การป้องกันและควบคุมมลพิษ การฟื้นฟูสภาพแวดล้อม นโยบายสิ่งแวดล้อม และสิ่งแวดล้อมในมิติอื่น ๆ
วารสารสิ่งแวดล้อมเผยแพร่เนื้อหาของบทความในลักษณะ Open Access โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์ เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในด้านสิ่งแวดล้อมสามารถนำเสนองานวิจัย บทความวิชาการ และบทความที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและระดับสากล วารสารนี้เป็นเวทีในการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างนักวิจัย นักวิชาการ และผู้ที่สนใจในเรื่องนี้
วารสารสิ่งแวดล้อม เผยแพร่ในแบบรูปเล่มฉบับแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2539 และเปลี่ยนการเผยแพร่เป็นรูปแบบออนไลน์ในปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นมา ผ่านเวปไซต์ https://ej.eric.chula.ac.th/ โดยดำเนินการเผยแพร่วารสารราย 3 เดือน (4 ฉบับ/ปี) กำหนดเผยแพร่ทุกต้นเดือนมกราคม เมษายน กรกฎาคม และ ตุลาคม และได้รับการจัดอันดับในฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี Thai-Journal Citation Index (TCI) ระดับ Tier 3
ในปี พ.ศ. 2566 วารสารสิ่งแวดล้อมได้ปรับปรุงการเผยแพร่บทความ เพื่อมุ่งสู่ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai-Journal Citation Index; TCI) ที่สูงขึ้นในระดับ Tier 2 ซึ่งประกอบด้วย การปรับความถี่ในการเผยแพร่เป็น 2 ฉบับต่อปี คือ ฉบับที่ 1 (มิถุนายน) และ ฉบับที่ 2 (ธันวาคม) และการปรับปรุงการจัดส่งบทความจากเดิมที่เป็นการจัดส่งต้นฉบับทางอีเมล์ eric@chula.ac.th เป็นจัดส่งผ่านระบบ Thai Journals Online (ThaiJO) ซึ่งเป็นระบบการจัดการและตีพิมพ์วารสารวิชาการในรูปแบบวารสารออนไลน์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Journal) พร้อมเพิ่มเติมขั้นตอนการประเมินบทความในลักษณะ Double blind review จากผู้เชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 ท่านก่อนการเผยแพร่ ซึ่งการประเมินจะมีความเข้มข้นและมีระบบระเบียบมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
ISSN (PRINT) : 0859-3868
ISSN (ONLINE) : 2586-9248
ความถี่ในการเผยแพร่ : 2 เล่ม/ปี (มิถุนายน และ ธันวาคม)
สำนักพิมพ์ : สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเทศไทย
ฐานข้อมูลการจัดทำดัชนี : Thai-Journal Citation Index (TCI), Tier 3 วารสารสิ่งแวดล้อมเป็นวารสารวิชาการที่เข้าใจถึงความสำคัญของจริยธรรมในการตีพิมพ์ทางวิชาการ ดังนั้น ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในกระบวนการเผยแพร่ควรปฏิบัติตามแนวทาง “คณะกรรมการจริยธรรมในการเผยแพร่ (COPE)” (https://publicationethics.org/) เครื่องมือตรวจจับการลอกเลียนแบบ “อักขราวิสุทธิ์” จะถูกใช้เพื่อรับรองความเป็นต้นฉบับของต้นฉบับที่ส่งมาทั้งหมด ต้นฉบับใด ๆ ที่มีดัชนีความคล้ายคลึงกันมากกว่า 30% จะถูกส่งกลับไปยังผู้เขียนเพื่อแก้ไขและชี้แจงหรือปฏิเสธ หากไม่ปฏิบัติตามจะส่งผลให้ต้นฉบับถูกปฏิเสธโดยทันที ซึ่งมีผลต่อการยุติกระบวนการประเมินบทความ นอกจากนี้ เพื่อป้องกันอคติและความขัดแย้งทางผลประโยชน์ วารสารจึงปฏิบัติตามนโยบายการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิโดยปกปิดทั้งสองด้าน (Double-blind peer review) สำหรับต้นฉบับทั้งหมดที่วารสารได้รับ บรรณาธิการจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าต้นฉบับจะได้รับการยอมรับหรือปฏิเสธตามข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ประเมินบทความ กองบรรณาธิการประกอบด้วยหัวหน้ากองบรรณาธิการบริหาร และกองบรรณาธิการ โดยทั่วไปหัวหน้ากองบรรณาธิการจะให้คำแนะนำและแนวปฏิบัติด้านวิชาการ กองบรรณาธิการทำหน้าที่ในการเชิญผู้ประเมินเพื่อพิจารณาบทความซึ่งจะเรียกว่าบรรณาธิการประจำบทความ และอาจทำหน้าที่เป็นผู้ประเมินด้วย กองบรรณาธิการประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในสาขาการวิจัยต่าง ๆ ที่ครอบคลุมตามหัวข้อต่าง ๆ ของวารสาร จากขอบเขตการวิจัยของต้นฉบับที่ส่งมา หัวหน้าบรรณาธิการจะมอบหมายต้นฉบับให้กับกองบรรณาธิการที่เหมาะสม บรรณาธิการประจำบทความมีหน้าที่ส่งต่อต้นฉบับให้กับผู้ประเมินที่มีความสนใจและความเชี่ยวชาญที่เหมาะสม และจะเป็นผู้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายสำหรับการพิจารณษบทความที่มีศักยภาพในการตีพิมพ์ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์หรือความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการตีพิมพ์ บรรณาธิการวารสารทุกคนควรปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้ ผู้เขียนต้นฉบับควรจำกัดเฉพาะผู้ที่มีส่วนสำคัญต่อต้นฉบับ รวมถึงแนวความคิด การค้นคว้า การออกแบบการศึกษา การวิเคราะห์และให้บทสรุป และการเขียน นอกจากนี้ ผู้เขียนจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ดังนี้ ผู้ประเมินมีบทบาทสำคัญในการตีพิมพ์ต้นฉบับ ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะช่วยให้ผู้เขียนปรับปรุงคุณภาพต้นฉบับและรับประกันว่าต้นฉบับมีค่าควรแก่การตีพิมพ์และจะนำไปสู่ความรู้ทางวิชาการ นอกจากนี้ ผู้ประเมินอาจมีอิทธิพลต่อต้นฉบับขั้นสุดท้ายพร้อมกับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกระบวนการตรวจสอบ ผู้ประเมินจะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางต่อไปนี้
ที่มา: สำนักจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ
สรุป
การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าความหนาแน่นของการจราจรของรถยนต์มีอิทธิพลต่อคุณภาพอากาศในสวนสาธารณะในกรุงเทพมหานคร ฉะนั้นสวนสาธารณะที่อยู่ในย่านที่มีการจราจรหนาแน่นควรได้รับการจัดการเพิ่มเติมและควรทำอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้สวนอื่น ๆ ก็ควรได้รับการจัดการเช่นกัน เนื่องจากสารมลพิษทางอากาศสามารถถูกพัดพาไปตกไกลหลายกิโลเมตรจากแหล่งกำเนิด ข้อแนะนำบางประการสำหรับการออกแบบและจัดการสวนเพื่อช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศภายในสวนและตัวเมืองมีดังต่อไปนี้
2. ปลูกต้นไม้เป็นแนวรั้วรอบสวน สวนสาธารณะส่วนใหญ่อยู่ติดถนน การปลูกต้นไม้ให้เป็นแนวรั้วสามารถช่วยกรองอากาศที่ผ่านเข้ามาในสวนได้ ต้นไม้ที่แนะนำ เช่น ต้นอโศกอินเดีย และต้นสนประดิพัทธ์ เนื่องจากลำต้นมีใบปกคลุมตั้งแต่โคนต้นจนถึงเรือนยอด
3. ปลูกพืชคลุมดิน เช่น หญ้า การปลูกพืชคลุมดินทั่วทั้งบริเวณเป็นการป้องกันไม่ให้ฝุ่นจากดินฟุ้งกระจายกับคืนสู่บรรยากาศ
4. สร้างบ่อน้ำภายในสวนเป็นระยะ ๆ สารมลพิษจากบรรยากาศหรือจากพื้นดินเมื่อถูกชะลงสู่แหล่งน้ำ จะถูกน้ำดูดซับไว้ไม่ให้กลับคืนสู่บรรยากาศ แต่ถ้าสะสมอยู่ที่พื้นดิน สามารถกลับคืนสู่บรรยากาศได้โดยอิทธิพลของลม
5. การรดน้ำต้นไม้ หากเป็นไปได้ควรรดน้ำที่ใบพืชด้วย เนื่องจากใบคือส่วนที่ดักจับสารมลพิษได้มากที่สุด การชะล้างสารมลพิษที่เกาะอยู่ออกไป เป็นการเพิ่มพื้นที่สำหรับยึดเกาะของสารมลพิษตัวใหม่ อีกอย่างเป็นการบำรุงรักษาพืชด้วย เนื่องจากสารมลพิษที่เกาะอยู่อาจไปอุดตันปากใบของพืช ส่งผลทำให้การเติบโตของพืชลดลง
ขอขอบคุณสมาชิกหน่วยวิจัยไลเคน เจ้าหน้าที่ประจำสวนสาธารณะทั้ง 10 แห่ง อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการศึกษาในครั้งนี้ งานวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
บทความอื่นๆ
คำแนะนำสำหรับผู้เขียน
ขอบเขตของเนื้อหา
ความยาวของบทความ
รูปในบทความ
การอ้างอิงทางบรรณานุกรม
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง(ตัวเอียง) ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์.
ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ใน ชื่อบรรณาธิการ (บรรณาธิการ), ชื่อหนังสือ(ตัวเอียง) (ครั้งที่พิมพ์), เลขหน้าที่ปรากฏบทความ(จากหน้าใดถึงหน้าใด). สถานที่พิมพ์: สำนักพิมพ์
ชื่อผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร(ตัวเอียง), ปีที่ (ฉบับที่), เลขหน้าที่ปรากฎ.
ชื่อผู้เขียนวิทยานิพนธ์. (ปีพิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์(ตัวเอียง). (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิตหรือวิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต,ชื่อสถาบันการศึกษา).
ชื่อผู้เขียน (ปี,เดือน วันที่). ชื่อเนื้อหา. [รูปแบบสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์ เช่น PowerPoint Facebook Website]. สืบค้นจาก http:/.....
กองบรรณาธิการ
กองบรรณาธิการและที่ปรึกษาวารสารสิ่งแวดล้อม
FAQ
เกี่ยวกับวารสาร
สำหรับสำนักพิมพ์
สำหรับบรรณาธิการ
สำหรับผู้แต่ง
สำหรับผู้ประเมิน